วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมทดสอบกลางภาค

การสอนแนะให้รู้คิด : รูปแบบหนึ่งของการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์
             1. ข้อสรุปที่ได้จากบทความ ... การสอนแนะให้รู้คิดเป็นนวัตกรรมอย่างหนึ่งที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการจัดการเรียนรู้ โดยเกิดจากความรู้และความเชื่อของครูผู้สอนนำมาซึ่งการตัดสินใจของครูผู้สอน เกิดการเรียนการสอนขึ้นในเรียน ทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจพร้อมกับพฤติกรรมของนักเรียนส่งผลให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ตามขั้นตอน คือ ครูนำเสนอปัญหา แนะนำให้นักเรียนเข้าใจปัญหา นักเรียนรายงานการแก้ไขปัญหา สุดท้ายผู้สอนและนักเรียนร่มกันอภิปราย ซึ่งสอดคล้องกับการจัดการศึกษาระดับชาติที่เน้นทักษะการคิดของผู้เรียน สามารถสอดแทรกทักษะและกระบวนการต่างๆ เพื่อให้นักเรียนฝึกกาีคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ และสามารถให้เหตุผลประกอบได้ นักเรียนเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนในชั้นเรียนกับชีวิตจริง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

            2.  นำความรู้เรื่องการจัดการในชั้นเรียน CGI  คือ ขั้นตอนที่ 1 ครูเสนอปัญหา  ขั้นตอนที่ 2 ครูช่วนแนะให้นักเรียนเข้าใจปัญหา. ขั้นที่ตอนที่ 3 นักเรียนรายงานคำตอบและวิธีแก้ปัญหา. และ ขั้นตอนที่ 4. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย. จะนำขั้นตอนเหล่านี้ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนรู้จักคิดแก้ปัญหา. และฝึกให้เป็นผู้มีเหตุผล เน้นหนักที่ให้นักเรียนคิดเองมากกว่าครูเป็นคนบอก

            3.  ในอนาคตที่จะเป็นครู แนวทางหรือวิธีการในการจัดการเรียนการสอน คิดว่าจะนำการสอนแนะให้รูไปประยุกต์ใช้ โดยการฝึกให้นักเรียนเป็นผู้คิดเป็น ทำเป็น เพราะเชื่อว่าการที่ผู้เรียนได้คิดเอง ทำเอง นักเรียนจะเกิดการเรียนรู้มากกว่าที่มีครูคอยบอกและคอยนำเสนอความคิดให้ และยอมรับความคิดเห็นของนักเรียน ไม่ยึดกับคำว่า ครูถูกเสมอ และยอมรับในความสามารถของผู้เรียนในการเรียนที่แตกต่างกัน
                                                         " ครูทั่วไป.     บอก  "
                                                         " ครูที่ดี.       อธิบาย"
                                                         " ครูที่เก่ง.     สาธิต "
                                                         " ครูที่เยี่ยม.   เป็นแรงบันดาลใจ"

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 7 : ดูโทรทัศน์ครู

ตรีโกณมิติ โดย อ. วาริน  รอดบำเรอ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

เนื้อหา
            อัตราส่วนตรีโกณมิติ อ.วาริน ได้ใช้เทคนิคของการใช้นิ้วมือในการจำ โดย กำหนดค่าของนิ้วชี้ 30 องศา , นิ้วกลาง  45 องศา และนิ้วนางมีค่า 60 องศา เมื่อต้องการหาค่า sin 30 ให้พับนิ้วชี้ ค่าของ sin เท่ากับ สแควร์รูทบซ้ายส่วน 2 ดังนั้นค่าของ sin30 เท่ากับ 1 ส่วน 2  ค่า cos เท่ากับ สแควร์รูทบขวา ส่วน 2  และค่า tan ให้นักเรียนตะแคงมือ จะได้ค่า tan เท่ากับ สแควร์รูทบทส่วนล่าง
            มุมก้ม มุมเงย อ.วาริน ใช้ผู้เรียนเป็นสื่อ โดยให้นักเรียนที่มีส่วนสูง สูงสุดและต่ำสุดของห้องมาเปรียบเทียบ ให้เห็นการมองที่เป็นมุมก้ม  และมุมเงย
            การหาความสูงของสิ่งต่างๆ โดยใช้ความรู้เรื่อตรีโกณมิติพร้อมการทำกิจกรรมนอกห้องเรียน และใช้พื้นที่ อาคาร สระน้ำ ในโรงเรียนเป็นสื่อการสอน ด้วยวิธีนี้นักเรียนสามารถเห็นภาพ และนำไปใช้อย่างเข้าใจได้

การรจัดกิจกรรมการสอนด้าน (สติปัญญา=IQ, อารมณ์=EQ, คุณธรรมจริยธรรม=MQ)
            ผู้สอน สอน/อธิบาย เรื่องอัตราส่วนตรีโกณจนนักเรียนเข้าใจ  มีการยกตัวอย่าง  ใช้สื่อการสอน  ในขณะที่สอนนักเรียนให้ความร่วมมือ  มีส่วนร่วมในการเรียนการสอน  มีเสียงหัวเราะ  รอยยิ้ม นักเรียนทุกคนมีความสุขไปพร้อมๆ กับมีความรู้ คุณครูสอนให้นักเรียนรู้จักคิดว่าสิ่งใดถูก  สิ่งใดผิด  สิ่งใดควรหรือไม่ควร เพราะอะไร 

บรรยากาศการจัดห้องเรียน
            ในการจัดการเรียนการสอนของ อาจารย์วาริน  เป็นการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียน  และนอกห้องเรียน  ทุกสถานที่  ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียนรู้  ในห้องเรียนจะอำนวนความสะดวกด้วยสื่อการสอน  สื่อการเรียนรู้ต่างๆ ผู้เรียนรู้จักการประยุกต์ใช้กับสิ่งแวดล้อม
กิจกรรมที่ 6 : เล่าเรื่องด้วยรูปภาพ
ให้นักศึกษาเรื่องที่ตนเองสนใจ 1 เรื่อง แล้วถ่ายรูปเล่าเป็นเรื่องราว เป็นรูปภาพ  เพื่อเป็นการนำเสนอในบล็อกต่อไปในคราวหน้า

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 5 : ครูที่ชื่นชอบ


ชื่อ ศุภวรรณ  นามสกุล  สงแก้ว
            สอนวิชาคณิตศาสตร์  ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4
            โรงเรียนร่อนพิบูลย์เกียรติวสุนธราภวัฒก์
ประวัติการศึกษา
            ปริญญาตรี  วิทยาลัยครู นครศรีธรรมราช
ประวัติการทำงาน
            2531 อาจารย์ 1 ระดับ 2 โรงเรียนบ้านหนองฆ้อง อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
            2533 อาจารย์ 1 ระดับ 3 โรงเรียนสองพี่น้อง  อำเภอสองพี่น้อง  จังหวัดสุพรรณบุรี
            2537 อาจารย์ 1 ระดับ 4 โรงเรียนทุ่งใหญ่วิทยาคม  อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
            2538 - ปัจจุบัน ครู คศ. 2 โรงเรียนร่อนพิบูลย์เกียรติวสุนธราภิวัฒก์
ผลงานที่ชื่อนชอบ
            ในการสอนของอาจารย์บ้างครั้งก็มีสื่อการสอนบ้างเพื่อให้นักเรียนได้เห็นภาพจริง  แต่ทุกครั้งที่สอน  คือ อาจารย์จะให้นักเรียนนั่งฟังอย่างตั้งใจ  ยกตัวอย่างหลายรูปแบบ ถ้านักเรียนมีข้อสงสัยอะไรสามารถถามได้ในขณะนั้น และเมื่อฟังการอธิบายเสร็จแล้วให้นักเรียนจดบันทึกตัวอย่างที่อาจารย์สอน
และให้ทำแบบฝึกหัด  แบบฝึกต่างๆ ที่อาจารย์ได้เตรียมมา และจะมีการเน้นให้นักเรียนอ่านโจทย์ให้ถูกต้อง และเน้นให้นักเรียนทำงานอย่างเป็นขั้นตอน 
การประยุกต์สิ่งที่ดีของครูมาใช้ในการพัฒนาตนเอง
            ก่อนอื่น  เราต้องพัฒนาความรู้ให้มากพอ แม่นยำในวิชาที่สอน ในการสอนประยุกต์การสอนให้มีรูปแบบต่างๆ  ไม่ซ้ำกัน  เพื่อความไม่น่าเบื่อ  และดึงดูดให้นักเรียนรู้สึกอยากเรียน มีสื่อการสอนบ้างในเนื่อหาที่ยากต่อความเข้าใจของนักเรียน  เนื่อหาที่เป็นนามธรรม จะพยายามสร้างสื่อให้เป็นรูปธรรมเพื่อส่งเสริมความเข้าใจของเด็ก  ฝึกให้เด็กรู้จักการทำงานกลุ่ม
กิจกรรมที่ 4 : การทำงานเป็นทีม

             การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถ 2 อย่าง คือ ความสามารถในการใช้วิชาความรู้  และความสามารถในการประสานสัมพันธ์กับผู้อื่น ทั้ง 2 ประการนี้จำเป็นต้องทำควบคู่กันด้วยความสุจริตกาย ใจ  ด้วยความคิดเห็นที่เป็นอิสระและถูกต้อง ปราศจากอคติ จึงจะช่วยให้งานบรรลุตามจุดมุ่งหมายและประโยชน์ที่พึงประสงค์
             ทีม คือกลุ่มของบุคคลที่ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุจุดประสงค์เดียวกัน  โดยเสียสละเวลาส่วนตัว เข้า ผูกพันธ์และให้ความร่วมมือ เพื่อเป้าหมายของทีม
             การทำงานเป็นทีมโดยที่สมาชิกทุกคนทราบวัตถุประสงค์  รู้หน้าที่  มีกฎระเบียบ  ผลงานที่ออกมาจะเป็นที่พอใจของสมาชิกทุกคน
             เช่น  การทำงานเป็นทีมในรายวิชาพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งวิชานี้มีกิจกรรมที่กลุ่มจะต้องทำงานร่วมกัน เพื่อเป็นประโยชน์แก่สังคม  ทางกลุ่มได้ทีการประชุม หาข้อยุติว่าทางกลุ่มจะทำอะไรเพื่อสังคม  จึงได้ข้อสรุปว่า จะช่วยกันพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก ณ วัดคันธมาลี  อ.ร่อนพิบูลย์  ในการปฏิบัติงานได้แบ่งตามความสามารถของสมาชิกในกลุ่ม  มีการวางแผนในการทำงานว่า  จะทำอะไรบ้าง งานใดควรทำในวันใด  ควรจะจบกิจกรรมในรูปแบบใด เพื่อความประทับใจของผู้ที่ได้รับจากสิ่งที่าทงกลุ่มได้ทำให้    จากการนำเสนองานแก่อาจารย์ผู้สอนถือว่า เป็นการทำงานร่วมกันที่ดี ซึ่งจะมีภาพกิจกรรมการทำงาน  ในกิจกรรมที่ 6 แบ่งปันรอยยิ้มเพื่่อน้อง
กิจกรรมที่ 3 : การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

ความแตกต่างระหว่างก่อนศตวรรษที่ 21 กับยุคศตวรรษที่ 21
              ในยุคศตวรรษที่ 21 มีแนวคิดที่ว่าการเรียนรู้ คือ ชีวิต การเรียนรู้เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง  มนษย์สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง  โรงเรียนมีหลักสูตรที่หลากหลาย ผู้เรียนเรียนรู้และตัดสินใจได้ด้วยตนเองว่าจะเรียนอะไรและเรียนอย่างไร  ยอมรับขีดความสามารถในการจำที่ไม่เท่ากัน  ทุกคนได้รับการกล่อมเกลาและเจริญขึ้นในสังคมที่ตนเป็นสมาชิก
             ยุคก่อนศตวรรษที่ 21 มีแนวคิดว่า การเรียนรู้จะสิ้นสุดเพื่อการเริ่มต้นของชีวิต  การเรียนรู้เกิดขึ้นเฉพาะในโรงเรียน ผู้มีความรู้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เท่านั้น การเรียนมีการกำหนดรายละเอียดของเนื้อหา  ผู้เรียนไม่รู้จักการเรียนรู้ด้วยตนเอง  คนที่จำได้มากกว่าย่อมเรียนได้มากกว่าคนที่จำได้น้อยกว่า  และโรงเรียนต้องต้องกล่อมเกลามนุษย์

             ในอนาคตที่จะเป็นครูยุคต่อไปข้างหน้า ครูผู้สอนจะต้องเตรียมตัว
                        1. เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในหลายๆ ด้าน รู้รอบ รู้จริง รู้ลึก
                        2. เป็นผู้รู้จักการบูรณาการ
                        3. เป็นผู้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า  และแก้ปัญหาระยะยาวได้ดี
                        4. เป็นผู้มีความยืดหยุ่น  สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม
                        5. เป็นผู้สอนที่มีรูปแบบการสอนที่หลากหลาย จัดรูปแบบการเรียนที่แตกต่าง
                        6. เป็นผู้มีระเบียบวินัย
                        7. เป็นผู้ร่วมสมัย  ก้าวทันเทคโนโลยีและข่าวสาร


วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 2 : ทฤษฏีการบริหารการศึกษา

Abraham Harold Maslow : ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ 5 ขั้น
            มาสโลว์ แบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ 
             1.ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) 
             2.ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs)
             3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs)
             4.ความต้องการยกย่องชื่อเสียง (Esteem Needs) 
             5.ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริงและความสำเร็จของชีวิต(Self–ActualizationNeeds)
มาสโลว์ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับความต้องการมนุษย์ไว้ดังนี้
             1. มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอ
             2. ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรมนั้น ๆ อีกต่อไป
             3. ความต้องการของมนุษย์จะเรียงกันเป็นลำดับขั้น ตามความสำคัญ

Douglas Mc Gregor : ทฤษฎี X และทฤษฎี Y
            ทฤษฎี X (Theory X)  เป็นปรัชญาการบริการจัดการแบบดั้งเดิม โดยมองว่าพนักงานเกียจคร้าน ไม่กระตือรือร้น ไม่ชอบงานและพยายามหลีกเลี่ยงงาน
            ทฤษฎี Y (Theory Y)  เป็นปรัชญาการบริการจัดการ โดยมองว่าพนักงานมีความรับผิดชอบ มีความคิดริเริ่มในการแก้ปัญหาในการทำงานและไม่มีความเบื่อหน่ายในการทำงาน
แมคเกรเกอร์  ได้เรียกร้องให้ผู้บริหารเปลี่ยนแปลงมุมมองมนุษย์จากมุมมองตามทฤษฎี X ไปเป็นมุมมองตามทฤษฎี Y

William Ouchi : ทฤษฎี Z                 

                 ทฤษฎี Z เป็นทฤษฎีที่มองเห็นว่าการจูงใจคนนั้นต้องเป็นไปตามสถานการณ์ แต่ทฤษฎีร่วมสมัยบางอย่างที่เกิดขึ้นมาใหม่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นทฤษฎี แต่อยู่ระหว่างการศึกษาทดลองเพื่อปรับให้เป็นทฤษฎี ทฤษฎี A คือ Amarican Theory เป็นทฤษฎีว่าด้วยการบริหารจัดการร่วมสมัยตามแบบของอเมริกา ซึ่งให้หลักการว่า การบริหารจัดการแบบนี้ ต้องอาศัยการจัดการจากพื้นฐานของบุคคล ของผู้บริหารที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งในทฤษฎีนี้มีหลักสำคัญ 3 ประการ คือ
                  1.) Individualism
                  2.) Short Term
                  3.) Individual Decision
                 ทฤษฎี J  คือ การบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น ซึ่งมีลักษณะที่เรียกว่า  การจ้างงานตลอดชีวิต หรือ Lifetime Employment มีการเลื่อนตำแหน่ง มีความผูกพันกัน เพราะฉะนั้นการเลี้ยงคนแบบญี่ปุ่นจะส่งเสริมให้มีการฝึกงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ผลเสียคือ ต้องเลี้ยงคนที่มีประสิทธิภาพการทำงานต่ำไว้ในหน่วยงานจนตลอดชีวิตด้วยเช่นกัน ก่อให้เกิดผลเสียต่อองค์การ ลักษณะประการที่สองของการบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น คือ ต้องมี Concential Decision Making คือ การตัดสินที่ต้องได้รับการยอมรับจากที่ประชุม ซึ่งเป็นผลดี แต่ผลเสีย คือ อาจเกิดความล่าช้า
                 วิลเลี่ยม โอชิ นำข้อดีข้อเสียนั้นมาวิเคราะห์สร้างเป็นทฤษฎีร่วมสมัย ที่เรียกว่า Blend Together หรือการนำมาผสมผสานให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่า ทฤษฎี Z ซึ่งเป็นแนวคิดของการบริหารจัดการเชิงจินตนาการ โดย 
                 1. ใช้วิธีแบบ Long Term Employment หรือการจ้างงานระยะยาวขึ้น ซึ่งเป็นทางสายกลาง คือ ไม่ต้องจ้างตลอดชีวิตแต่ก็ไม่ใช่การจ้างแบบระยะสั้น แต่เน้นการจ้างในระยะเวลาที่นานพอสมควรแล้วสร้างความผูกพัน
                 2. ประการที่สอง จะต้องมีลักษณะที่เรียกว่า Individaul Responsibility คือ จะต้องมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล ซึ่งนำเอาหลักแนวคิดแบบอเมริกันมาใช้กับบุคลากรในหน่วยงานให้มีความรับผิดชอบต่อตนเอง กล้าตัดสินใจ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารมากจนเกินไป 
                 3. และประการที่ 3 คือ ต้องมี Concential Decision Making คือ การตัดสินใจต้องทำเป็นทีม ต้องมีการพูดคุย ถึงผลดีผลเสียของการบริหารจัดการแบบต่างๆ

Henry Fayol : บิดาทฤษฎีการบริหารจัดการสมัยใหม่
                เป็นบิดาของทฤษฎีการจัดการการปฏิบัติการ(Operational management theory)  หรือบางทางก็ถือกันว่าเป็นบิดาของการบริหารจัดการสมัยใหม่   เชื่อว่าการบริหารนั้นเป็นเรื่องของทักษะ และสนใจที่จะศึกษาองค์การโดยรวมและมุ่งเน้นที่กิจกรรมการจัดการ (Managerial activities) ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมห้าอย่างคือ
                1. การวางแผน(Planning)
                2. การจัดองค์การ(Organizing)
                3. การบังคับบัญชา หรือการสั่งการ (Commanding)
                4. การประสานงาน (Coordinating)
                5. การควบคุม (Controlling)
                อังริ ฟาโยล (Henri Fayol) เป็นนักอุตสาหกรรม ชาวฝรั่งเศส มีประสบการณ์ด้านการบริหารองค์การของรัฐขนาดใหญ่ ได้นำเสนอหลักการทีเขาเรียกว่า หลักการจัดการ 14 ประการ (Fayol's Fourteen Principles of Management) ซึ่งมีดังต่อไปนี้ คือ
                1. การจัดแบ่งงาน (division of work)
                2. การมีอำนาจหน้าที่ (authority)
                3. ความมีวินัย (discipline)
                4. เอกภาพของสายบังคับบัญชา (unity of command)
                5. เอกภาพในทิศทาง (unity of direction)
                6. ผลประโยชน์ของหมู่คณะจะต้องเหนือผลประโยชน์ส่วนตน (Subordination of Individual Interests to the General Interests)
                7. มีระบบค่าตอบแทนที่ยุติธรรม (remuneration
                8. ระบบการรวมศูนย์ (centralization)
                9. สายบังคับบัญชา (scalar chain)
              10. ความเป็นระบบระเบียบ (order)
              11. ความเท่าเทียมกัน (equity) 
              12. ความมั่นคง และสามัญฐานะของบุคลากร (stability of tenure of personnel)
              13. การริเริ่มสร้างสรรค์ (initiative)
              14. วิญญาณแห่งหมู่คณะ (esprit de corps)

Max Weber : ทฤษฎีการจัดการตามระบบราชการ (Bureaucratic Management)
            แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เป็นนักสังคมวิทยา ชาวเยอรมัน ได้นำเสนอแนวคิดการจัดองค์การ ที่เรียกว่า bureaucracy เขาเห็นว่าเป็นลักษณะองค์การที่เป็นอุดมคติที่องค์การทั้งหลายควรจะเป็น หากได้รับการพัฒนาในระดับที่เหมาะสม โดยสรุปแล้วแนวคิดการจัดองค์กรของเว็บเบอร์มี 6 ประการมีดังนี้ คือ
             1. องค์การต้องมีการจัดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้แต่ละส่วนงานได้มีโอกาสทำงานในส่วนที่ง่ายพอ และมีการกำหนดงานนั้นๆให้ชัดเจนและไม่สับสน (Division of labor)
             2. องค์การนั้นต้องมีสายบังคับบัญชาตามลำดับชั้น ( Authority Hierarchy)
             3. ระบบการคัดเลือกคนนั้นต้องกระทำอย่างเป็นทางการ ( Formal Selection)
             4. องค์การต้องมีระเบียบ และกฏเกณฑ์ (Formal Rules and Regulations)
             5. ความไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ( Impersonality)
             6. การแยกระบบการทำงานออกเป็นสายอาชีพ (Career Orientation)

Luther Gulick : POSDCORB
            Luther Gulick เป็นผู้คิดรูปแบบการบริหารจัดการโดยมีกิจกรรม 7 ประการมาใช้ในการบริหารจัดการ ในวงการบริหารจะรู้จักกิจกรรมทั้ง 7 ประการนี้เป็นอย่างดี มีคำย่อว่า POSDCORB(CO คือคำเดียวกัน) มีการนำรูปแบบการบริหารจัดการของ Luther Gulick ไปใช้ในการบริหารองค์กรสมัยใหม่อย่างกว้างขวาง แนวความคิดที่นำเอามุมมองทั้ง 7 ด้านมาใช้นั้นสอดคล้องกับทฤษฎีการบริหารจัดการของ Henri Fayol , Frederick W.Taylor และ Max Weber 
กิจกรรม 7 ประการมีดังนี้
            P คือการวางแผน (planning)
            O คือการจัดองค์การ (organizing)
            D คือการสั่งการ (directing)
            S คือการบรรจุ (staffing)
            CO คือการประสานงาน(co-ordinating)
            R คือการรายงาน (reporting) 
            B คือการงบประมาณ (budgeting)
Frederick Herzberg : ทฤษฎี 2 ปัจจัย (Two Factors Theory)
             ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจโดยเฟรเดอริค เฮิร์ซเบอร์ก (Frederick Herzberg)
เฮิร์ซเบอร์กได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจของคน เขาได้ศึกษาโดยการสัมภาษณ์พนักงานในเรื่องของความพึงพอใจจากการทำงาน และทำให้เขาได้ผลสรุปว่าแรงจูงใจของมนุษย์จะประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
ปัจจัยภายนอก(Hygiene Factors) ได้แก่
            * นโยบายขององค์กร
            * การบังคับบัญชา
            * ความสัมพันธ์กับหัวหน้างาน
            * สภาพแวดล้อม/เงื่อนไขในการทำงาน
            * ค่าจ้าง/เงินเดือน/สวัสดิการ
            * ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
ปัจจัยภายใน(Motivation Factors) ได้แก่            * การทำงานบรรลุผลสำเร็จ
            * การได้รับการยอมรับ
            * ทำงานได้ด้วยตนเอง
            * ความรับผิดชอบ
            * ความก้าวหน้าในงาน
            * การเจริญเติบโต

Frederick W. Taylor : ทฤษฏีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
             เทย์เลอร์ ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ ปรัชญาการบริหารของเทย์เลอร์ได้แก่
                     1.ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแต่ละอย่าง
                     2.ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการฝึกอบรมพนักงานและมอบหมายความรับผิดชอบให้ทำงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน
                     3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
                     4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่าง ๆ
เทย์เลอร์ได้พัฒนาวิธีการจ่ายค่าจ้างต่อหน่วยแบบสองระดับ(Different rate system)

Henry L. Gantt : ผู้พัฒนาการอธิบายแผนโดยใช้กราฟ (Gantt Chart) 
            Gantt เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านที่นำเอากราฟ "Gantt Chart" มาเป็นสื่อในการอธิบายแผน การวางแผน การจัดการ และการควบคุมองค์กรที่มีความสลับซับซ้อน เพื่อให้ผู้รับฟังเกิดมิติในการรับรู้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังได้คิดวิธีจ่ายค่าตอบแทนในการทำงานแบบใหม่ โดยใช้วิธีให้สิ่งจูงใจ

Frabk B. & lillian M. Gilbreths : Time-and-Motion Studies
            แนวคิดของ Gilbreth เน้นการกำจัดความสิ้นเปลือง และความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน โดยการหาวิธีการทำงานที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง (the o­ne best way to do work) การศึกษาที่สำคัญคือลักษณะการเคลื่อนไหวของร่างกายในการทำงาน (Motion Study)ผังกระบวนการทำงาน (Work Flow Process Chart)